ประวัติครูทองใส ทับถนน


ครูทองใส ทับถนน คือ หนึ่งในจำนวนผู้มีผลงานทางด้านศิลปกรรมของจังหวัดอุบลราชธานี ที่ได้รับการยอมรับจากหน่วยงานทางการศึกษาระดับชาติ จากผลงานทางด้านดนตรีและศิลปะการแสดง "การดีดพิณ" ครูทองใส ทับถนน จนเป็นที่ยอมรับ ยกย่องในระดับต่าง ๆ ดังกล่าว จึงสมควรที่จะได้มีการบันทึกประวัติชีวิตและผลงานครูทองใส ทับถนน เพื่อให้อนุชนรุ่นหลังได้ทราบถึงความเป็นมาของชีวิตศิลปิน และเผยแพร่ให้เป็นที่รู้จักของคนทั่วไป

ครูทองใส ทับถนน ครูภูมิปัญญาไทย ด้านศิลปกรรม ดนตรีพื้นเมือง(พิณอีสาน)
เกิด เมื่อวันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๔๙๐ ที่บ้านหนองกินเพล ตำบลหนองกินเพล อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี  วัยเด็กศึกษาเล่าเรียนที่บ้านเกิด จบการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ โดยมีพ่อปิ่น - แม่หนู ทับถนน เป็นผู้ให้กำเนิด บิดา-มารดา มีอาชีพทำนา และอาชีพเสริมเป็นศิลปินพื้นบ้านอีสาน (หมอลำ) มีภรรยาคู่ชีวิตคือ นางประมวล (สกุลเดิมจันไตร) มีบุตร-ธิดา ๓ คน ได้แก่

๑.      นางพิณทอง มณีเนตร  ๒. นายสีแพร ทับถนน และ ๓. นางบุญสวย ทับถนน

ครู ทองใส ทับถนน คือ หนึ่งในจำนวนปราชญ์ศิลปิน ของจังหวัดอุบลราชธานี ที่มีความรู้ความสามารถทางด้านศิลปะการแสดง คือ การดีดพิณ ลีลาลายพิณโบราณจากพิณสองสายและท่วงทำนองการดีดพิณของครูทองใส ได้รับการยอมรับว่า คือ มือพิณชั้นครู ระดับปรมาจารย์มีลูกศิษย์จากทุกสารทิศมาเรียนรู้มากมาย ทั้งที่ครูทองใสเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่ง อาชีพหลัก

 คือ การทำนา จบการศึกษาแค่ชั้น ป.๔ แต่มีความรู้ความสามารถทางด้านศิลปะการแสดง จนได้รับการยกย่องว่าเป็น ครูภูมิปัญญาไทย ทำหน้าที่ถ่ายทอดความรู้ทางด้านการดีดพิณของตนเองให้กับคนทั่วไปได้เรียนรู้ ชีวิตครูทองใส ทับถนน คนดีดพิณ ศิลปินมือพิณพื้นบ้าน จากวงดนตรีลูกทุ่งอีสาน เพชรพิณทอง มีความเป็นมาอย่างไร จึงเป็นเรื่องราวที่น่าสนใจในการศึกษาค้นคว้าและนำมาเสนอ ให้คนทั่วไปได้รับรู้ถึง ประวัติชีวิต การเรียนรู้ ประสบการณ์ทำงาน ทั้งที่ประสบความสำเร็จเป็นทั้ง ประสบการณ์ และ บทเรียน เพื่อประโยชน์ต่อการเรียนรู้ของคนรุ่นหลังต่อไป

บ้านหนองกินเพล ตำบลหนองกินเพล อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี มีตำนานหมู่บ้านที่เล่าขานกันต่อ ๆ มาน่าสนใจว่าประมาณปี พ.ศ.๒๔๐๐ ได้มีชนกลุ่มหนึ่งเดินทางรอนแรมมาจากอำเภอเขื่องใน เพื่อหาที่พักอาศัยและที่ทำกินที่อุดมสมบูรณ์ มาถึงบริเวณแม่น้ำมูลเลยพากันหยุดพักกินข้าวและเห็นว่าเป็นที่ลุ่มที่ดอน เหมาะสมที่จะตั้งเป็นที่อยู่อาศัย ได้พากันข้ามแม่น้ำมูลมายังฝั่งอำเภอวารินชำราบ(ปัจจุบัน) ซึ่งมีท่าน้ำติดกับแม่น้ำมูลจึงได้พากันตั้งรกรากปลูกที่พักอาศัยกลายเป็น หมู่บ้านเล็ก ๆ ขึ้นมา ซึ่งในสมัยนั้นยังขาดผู้นำหมู่บ้านจึงยังไม่มีการตั้งชื่อหมู่บ้าน

จาก นั้นเล่ากันว่าก่อนจะมีชื่อหมู่บ้านเป็น บ้านท่ากกไฮ เพราะว่าเดิมทีมีต้นไฮขนาดใหญ่หลายคนโอบอยู่ที่ท่าน้ำทางเกวียนลงสู่แม่น้ำ มูลวันหนึ่งได้มีพ่อค้าขายปลาแดก(ปลาร้า) นั่งเรือผ่านมาและจอดเรืออยู่ใต้ต้นไฮใหญ่เพื่ออาศัยร่มเงาพักผ่อนเอาแรง แต่แล้วก็มีเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้น คือ กิ่งไฮตกลงมาใส่ทับคนในเรือเสียชีวิต ชาวบ้านจึงพากันเรียกว่า บ้านท่ากกไฮ ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
ส่วนสาเหตุที่เป็น บ้านหนองกินเพล นั้น ด้วยความบังเอิญสมัยนั้นมีพ่อค้าแม่ค้าและผู้คนสัญจรเดินทางผ่านไปมาระหว่าง หมู่บ้านและอำเภอบ่อย ๆ พอมาถึงบริเวณทุ่งนา ทุกวันพระสงฆ์ในวัดจะตีกลองเพลเป็นประจำ ผู้คนที่ผ่านไปมาก็จะพูดและนัดหมายกันว่าพบกันที่ หนองเพล คือ ลักษณะการนัดพบกันกินข้าวเที่ยงที่หนองน้ำ จึงเป็นเหตุให้เปลี่ยนชื่อจาก บ้านท่ากกไฮ เป็น บ้านหนองกินเพล มาจนถึงทุกวันนี้

โดยสภาพทั่วไปชาว บ้านหนองกินเพล เป็นชาวบ้านที่ประกอบอาชีพทางด้านการเกษตรเป็นหลัก เช่น ทำนา ทำสวน ปลูกพืชไร่ และเป็นหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ริมฝั่ง
แม่น้ำมูล ชาวบ้านจึงมีอาชีพส่วนหนึ่งคือ การประมงจับปลาจากแม่น้ำมูล และความรู้ในการทำเครื่องมือจับปลา เช่น สานแห ไซ ส่วนผู้หญิงมีความรู้ในด้านการทอผ้าและทอเสื่อ และที่บ้านหนองกินเพล อำเภอวารินชำราบ หมู่บ้านแห่งประวัติศาสตร์แห่งนี้ที่มีอายุถึงร้อยกว่าปี คือ หมู่บ้านที่เป็นถิ่นกำเนิดของสองพ่อลูกศิลปินดนตรี
พื้นบ้านผู้ยิ่งใหญ่คือ หนึ่ง พ่อ หมอลำปิ่น ทับถนน สอง ลูกชาย นายทองใส ทับถนน
สายเลือดที่ได้รับมรดกถ่ายทอดความเป็นศิลปินพื้นบ้านสืบต่อกันมา

หนึ่ง พ่อ หมอลำปิ่น ทับถนน ชาวบ้านหนองกินเพลเป็นศิลปินพื้นบ้านผู้มีความสามารถทางด้านการแสดงหมอลำ กับ การเล่นหนังบักตื้อ (หนังปราโมทัยหรือหนังตะลุงทางภาคใต้) เมื่อว่างเว้นจากฤดูกาลทำนาจะพาคณะออกตระเวนเล่นตามหมู่บ้าน ตำบลต่าง ๆ ของจังหวัดอุบลราชธานี มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักโดยทั่วไป ทำให้มีลูกศิษย์มาฝากตัวเรียนรู้วิชาหมอลำ กับ หนังบักตื้อ มากมาย รวมทั้งยังเป็นผู้มีน้ำใจ จึงมีเพื่อนพ้องศิลปินพื้นบ้านมาเยี่ยมเยือนที่บ้านหนองกินเพลเป็นประจำ ทำให้บ้านหนองกินเพล สมัยนั้นเป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นหมู่บ้านที่มีชื่อเสียงทางด้านศิลปะการ แสดงเพราะเป็นแหล่งรวมของศิลปินพื้นบ้านของอีสาน

สอง ลูกชาย นายทองใส ทับถนน จึงได้รับการถ่ายทอดมรดกทางศิลปินมาตั้งแต่กำเนิด เพราะเกิดมาท่ามกลางวงล้อมของครอบครัวและหมู่ศิลปินพื้นบ้าน ซึมซับอยู่กับเสียงดนตรี เสียงร้อง ของศิลปินหลายคน จนสามารถพัฒนาตนเองเป็น ศิลปินนักดนตรีพื้นบ้าน พิณอีสาน เจริญรอยตามบิดา มาจนถึงทุกวันนี้ เมื่อว่างเว้นจากฤดูกาลทำนา ออกตระเวนเล่นดนตรีจนมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักโดยทั่วไป ทำให้มีลูกศิษย์มาฝากตัวเรียนรู้ การดีดพิณอีสาน และมีเพื่อนพ้องศิลปินมาเยี่ยมเยือนที่บ้านหนองกินเพลเป็นประจำ ทำให้วันนี้ บ้านหนองกินเพล เป็นหมู่บ้านที่มีชื่อเสียงทางด้านศิลปะการแสดงพื้นบ้านของอีสาน

เด็ก ชายทองใส ทับถนน มีแววศิลปินมือพิณมาตั้งแต่ยังเด็ก เพราะมีความสามารถเล่นพิณได้ตั้งแต่อายุ ๔ ขวบ จากความสนใจและแรงบันดาลใจที่ได้เห็น ครูพิณ ดีดพิณสองสายได้อย่างไพเราะน่าฟังจึงเกิดความรู้สึกเบื้องต้นอยากจับต้อง สัมผัส ตัวพิณ อยากเป็นเจ้าของพิณและอยาก ดีดพิณ ให้ได้เหมือนกับครูพิณที่ตนเองประทับใจและชื่นชมในฝีมือ เมื่อได้มีโอกาสเป็นเจ้าของ พิณตัวแรก เมื่ออายุ ๔ ปี จากการรบเร้าให้แม่ขอพิณจากครูพิณที่มาพักแรมที่บ้านให้ จากนั้นมาเด็กชายทองใสได้เริ่มต้นฝึกฝน ฝึกปฏิบัติ การดีดพิณด้วยตนเองอย่างจริงจังจนสามารถเล่นพิณประกอบจังหวะดนตรีหมอลำร่วม กับคณะของพ่อหมอลำปิ่นได้ ตั้งแต่เรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ เมื่ออายุ ๘ ปี
เด็กชายทองใสเริ่มเรียนรู้ ลายพิณโบราณ จากครูพิณพื้นบ้านหลายคน เริ่มต้นจาก พ่อปิ่น ถือเป็นครูคนแรกที่ให้คำแนะนำเบื้องต้นในการดีดพิณ จากนั้นเรียนรู้กับครูบุญ ซึ่งเป็นญาติทางฝ่ายแม่เป็นผู้ถ่ายทอดลายพิณ แบบลายลำเพลิน

โบราณให้  จนกระทั่งพบกับ ครูบุญชู โนนแก้ว ชาวบ้านโนนสังข์ อำเภอกันทรารมย์ จังหวัดศรีสะเกษ ศิลปินมือพิณพิการตาบอดซึ่งเป็นลูกศิษย์ของพ่อหมอลำปิ่น ซึ่งมีฝีมือการดีดพิณลายโบราณเก่งมาก จนเด็กชายทองใสประทับใจอยากเล่นพิณได้เหมือนกับครูบุญชู จึงขอฝากตัวเป็นลูกศิษย์และได้เรียนรู้ลายพิณพื้นบ้านอีสานแบบโบราณ โดยเฉพาะ ลายพิณ ลุ้นตุ๋ย ซึ่งเป็นที่มาของลายพิณปู่ป๋าหลาน ที่สร้างชื่อเสียงให้กับครูทองใสในเวลาต่อมา เมื่อเรียนจบการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ ชีวิตของเด็กชายทองใส มีความสนใจที่จะเรียนรู้วิชาการดีดพิณต่อไป จึงตั้งใจฝึกฝนตนเองด้วยวิธีการจดจำ ลายพิณพื้นบ้านจากครูพิณคนเก่า และเสาะแสวงหา ลีลาลายพิณ จากศิลปินมือพิณคนอื่น ๆ ตลอดเวลา รวมทั้งยังได้มี
   

โอกาสเล่นกับคณะหมอลำของพ่อปิ่นตามงานแสดง ต่าง ๆ ทำให้ฝีมือการดีดพิณของเด็กชายทองใสพัฒนาขึ้นมาเรื่อย ๆ จนสามารถเล่นพิณประจำให้กับวงหมอลำของพ่อปิ่น และวงดนตรีพื้นบ้านต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี จนได้ชื่อว่าเป็นมือพิณที่มีฝีมือและชื่อเสียงคนหนึ่งในสมัยนั้น ด้วยความเป็น สายเลือดศิลปิน มือพิณอย่างครูทองใส จึงตัดสินใจที่จะประกอบอาชีพศิลปินตามรอยบิดา คือ หมอลำปิ่น ทับถนน หากแต่เป็นการก้าวเดินตามรอยเท้าที่มี ความเหมือนและความต่างจากพ่อปิ่น ความเหมือน คือ ทั้งพ่อปิ่น และ ครูทองใส เป็นศิลปินที่มีความสามารถทางด้านการแสดงออกทางด้านดนตรีพื้นบ้านเหมือนกัน ความต่าง คือ พ่อปิ่น เด่นทางด้านการแสดงหมอลำที่อยู่ด้านหน้าเวที แต่ลูก คือ ครูทองใส เด่นทางด้านการเล่นดนตรีพื้นบ้าน คือ การดีดพิณ จึงเป็นศิลปินที่ต้องอยู่เบื้องหลังของนักแสดงด้านหน้าเวที

ครูทองใส ย้ำกับลูกศิษย์ทุกคนว่า "ไม่มีใครที่จะสามารถเรียนรู้และเก่งได้ด้วยตนเอง ทุกคนต้องมีครูครูคนแรก คือ พ่อแม่ ครูคนที่สองคือครูที่โรงเรียน ส่วนครูพิณ แม้จะเรียนรู้โดยวิธีการจดจำและนำมาฝึกปฏิบัติเองแบบครูพักลักจำ หรือครูนิรนาม แต่ก็ยังถือว่าจำเอามาจากคนอื่นอยู่นั่นเอง" ศิษย์ต้องมีครู ครูของทองใส ครูทองใสจัดลำดับ ทำเนียบครูพิณ ที่ถือว่าเป็น ครู ที่ได้ให้ความรู้กับครูทองใสเป็น มือพิณ ที่มีความสามารถทางด้านการดีดพิณ การสอนพิณ และการทำพิณ และเป็น ครูภูมิปัญญาไทย - ดนตรีพื้นบ้านพิณอีสาน ในวันนี้ คือ

ครูคนแรก คือ บิดา หมอลำปิ่น ทับถนน ผู้ถ่ายทอดมรดกทางสายเลือดศิลปินให้กับครูทองใส ถึงแม้ว่า พ่อหมอลำปิ่นจะไม่เก่งด้านดารดีดพิณ แต่เก่งทางด้านระนาด แต่ก็ถือว่าเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูกจนสามารถเจริญรอยตามรอยเท้าเข้าสู่ อาชีพศิลปินได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ครูคนที่สอง คือ ครูบุญ จากบ้านท่างอย อำเภอวารินชำราบ ผู้สอนลายพิณลำเพลิน เป็นครูพิณคนแรกที่ครูทองใสพอใจในฝีมือการดีดพิณและเริ่มต้นเรียนรู้ลายพิณ จนเกิดความมั่นใจสามารถเล่นพิณประกอบหมอลำได้ตั้งแต่อายุเพียง ๘ ปี
ครู คนที่สาม คือ ครูบุญชู โนนแก้ว ครูพิณพิการตาบอดผู้สอนลายพิณโบราณ เป็นครูพิณที่ครูทองใสได้รับการถ่ายทอดลายพิณโบราณได้มากที่สุด อันเนื่องมาจากความประทับใจในลายพิณของครู จึงตั้งใจรับการถ่ายทอดเอาลายพิณได้มากที่สุด

ครูในการทำพิณ คือ ลูกศิษย์สอนการทำพิณ ครูทองใสไม่อายที่จะเรียนรู้วืธีการทำพิณจากลูกศิษย์ที่มาเรียนดีดพิณ คือ อ.ยงยุทธ พะหล ปัจจุบันอายุ ๖๕ ปี เคยเป็นอาจารย์สอนที่วิทยาลัยเทคนิคอุดรธานี ปัจจุบันมีอาชีพทำพิณขายทั่วไป
ครู ที่ยิ่งใหญ่และจะต้องจดจำตลอดไป คือ อ.นพดล ดวงพร เจ้าของและหัวหน้าวงดนตรีเพชรพิณทอง ผู้สอนและให้คำแนะนำเทคนิค วิธีการต่าง ๆ การเล่นการแสดงหน้าเวที การวางตัว การสังเกตความสนใจ ความพอใจของผู้ฟัง และเคล็ดลับทุกอย่างทำให้ นายทองใส ทับถนน จากมือพิณธรรมดามาเป็นมือพิณทองใส ทับถนนได้ในวันนี้

เมื่ออายุ ๒๑ ปี เข้าวัยเกณฑ์ทหาร ครูทองใส ใช้ชีวิตทหารรับใช้ชาติที่กองพันทหารปืนใหญ่ ค่ายสรรพสิทธิประสงค์ มณฑลทหารบกที่ ๖ อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี ช่วงเวลานี้เองที่ทำให้ครูทองใสได้พบ จุดเปลี่ยน ที่ทำให้ประสบความสำเร็จเป็นมือพิณในปัจจุบัน คือ

   

การ ประยุกต์ฝีมือลายพิณพื้นบ้านอีสานตามที่ครูทองใสถนัด พัฒนามาเป็นการดีดพิณแบบประยุกต์ตามแบบดนตรีสากล เพราะมีโอกาสได้เล่นร่วมกับ วงดนตรีสากล ของกองพันทหารปืนใหญ่เป็นประจำ ทำให้ต้องเรียนรู้ที่จะเล่นลายพิณโบราณต่าง ๆ ให้เข้ากับดนตรีของเพลงลูกทุ่ง เพลงสากล ซึ่งครูทองใสก็สามารถที่จะ "ปรับวิธีการดีดพิณ" ให้เข้ากับแนวดนตรีสากลได้อย่างกลมกลืน  ครูทองใสเล่าช่วงชีวิตทหารเกณฑ์ให้ฟังตอนหนึ่งว่า  "เนื่องจากเป็นคนที่มีความสามารถในการเล่นพิณ จึงมีโอกาสได้เล่นเป็นประจำอยู่กับวงดนตรีของทหาร เวลาเล่นแล้วนายทหารส่วนมากที่มาจากกรุงเทพฯ ชอบเสียงพิณอีสานมาก อยากให้เล่นพิณให้ฟังอีกหลายครั้ง ชีวิตทหารของครูทองใสจึงค่อนข้างสบายเพราะส่วนมากจะได้เล่นพิณ จนทำให้มีเวลาฝึกฝนฝีมือพิณเพิ่มเติมจนชำนาญมากขึ้นมาอีก"

จากจุดนี้ เองที่ทำให้ ลายพิณของครูทองใส เริ่มที่จะออกมาเป็น เอกลักษณ์ของตนเอง คือ การนำเอาความชำนาญจากลายพิณโบราณ มาผสมผสานกับ จังหวะ ทำนองของดนตรีสากล จนเกิดเป็นลายพิณประยุกต์กึ่งพื้นบ้านโบราณอีสาน กึ่งดนตรีสากล ที่เป็นผลทำให้เกิดเป็น องค์ความรู้ใหม่ ที่ครูทองใสได้พัฒนาขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว แต่ได้ซึมซับไว้ในสมองและจิตใจของครูทองใสจากช่วงเวลานั้นเป็นต้นมา

เมื่อ ปี พ.ศ. ๒๕๑๓ พ้นจากราชการทหาร กลับมาอยู่ที่บ้าน ใช้ชีวิตเช่นเดิม คือทำไร่ ทำนา และเล่นพิณประกอบวงหมอลำตามแต่จะถูกเชิญชวน ได้ฟังประกาศรับสมัครนักดนตรีพิณอีสาน เพื่อร่วมเล่นดนตรีกับครูนพดล ดวงพร ซึ่งแยกตัวออกมาจากวงดนตรีจุฬารัตน์ "ทองใส" เกิดความสนใจจึงไปสมัครพร้อมพิณคู่กาย มีหัวพิณเป็นไม้แกะสลักรูปพญานาค จึงมีฉายาในช่วงนั้นว่า "ทองใส หัวนาค" มีนักดนตรีมือพิณ มาสมัครมากมาย ด้วยยุคนั้นสื่อทางวิทยุเป็นที่นิยม และรายการวิทยุที่ครูนพดล ดวงพร จัดเป็นรายการที่ชาวบ้านชื่นชอบรับฟังกันมาก จากมือพิณประมาณ ๑๐๐ คน ทองใส ทับถนน ได้รับการคัดเลือกเพียงคนเดียวในขณะนั้น จึงได้รับการคัดเลือกเป็นมือพิณ คู่กายประจำวงดนตรีอาจารย์นพดล ดวงพร จากนั้นเป็นต้นมา
ช่วงปี พ.ศ. ๒๕๑๔ อาจารย์นพดล ดวงพร จัดตั้งวงดนตรีพิณประยุกต์มีชื่อเสียงมากในช่วงนั้น และเพลงพิณของทองใส ทับถนน ที่บรรเลงนั้น สถานีโทรทัศน์กรมประชาสัมพันธ์ ช่อง ๕ ขอนแก่น ได้ใช้เปิดเป็นเสียงประกอบในรายการต่างๆ และวงพิณประยุกต์ก็ได้แสดงออกอากาศ ทุกวันเสาร์ เพลงลูกทุ่งอีสานประยุกต์ ที่มีชื่อเสียงก็ได้กำเนิดในยุคนั้น

ประมาณ ปี พ.ศ. ๒๕๑๔ อาจารย์นพดล ดวงพร ได้รับเชิญให้นำวงดนตรีพิณประยุกต์ไปแสดงถวาย ณ ที่ประทับเขื่อนน้ำพอง ขอนแก่น เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จเพื่อพระราชทานปริญญาบัตรแก่นักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่น และอาจารย์นพดล ดวงพร ร่วมกับทองใส ทับถนน ได้ถวายพิณแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระองค์ท่านตรัสว่า "เพชรนี้เป็นเพชรน้ำเอก.." ของเครื่องดนตรีอีสาน ในครานั้นสร้างความปลื้มปิติ อาจารย์นพดล ดวงพร และคณะเป็นอย่างยิ่ง ด้วยความซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ ทำให้อาจารย์นพดล ดวงพร ได้เปลี่ยนชื่อวงดนตรีเพลงลูกทุ่งอีสาน "พิณประยุกต์" ใหม่เป็นวง "เพชรพิณทอง" ที่ถือว่าเป็นมงคลนาม อันเกิดจากการถวายพิณในครั้งนั้น

วง เพชรพิณทอง เป็นวงดนตรีของชาวอีสานวงแรก ที่ได้ไปแสดงที่ต่างๆ เทียบเท่าวงดนตรีชั้นนำของประเทศ ในช่วงปี พ.ศ.๒๕๑๕ -๒๕๔๐ สามารถทำรายได้ไม่น้อยกว่าวงดนตรีลูกทุ่งชื่อดังต่างๆ อย่างวงดนตรียอดรัก สลักใจ วงดนตรีสายันต์ สัญญา หรือวงดนตรีพุ่มพวง ดวงจันทร์ และมือพิณประจำเพชรพิณทอง ก็คือ ทองใส ทับถนน

เมื่อเริ่มต้นชีวิตนัก ดนตรีใหม่ ๆ ยังไม่ได้รับค่าจ้าง ภายหลังจึงได้บ้างเป็นครั้งคราว ประมาณ ๓๐๐ - ๖๐๐ บาทในการเล่นตามงานต่าง ๆ การเล่นพิณบนเวทีประกอบวงดนตรี "พิณประยุกต์" ในช่วงแรกที่ใช้ พิณโปร่ง (พิณอีสานเดิมเป็นพิณโปร่งเวลาเล่นบนเวทีต้องใช้ไมโครโฟนจ่อที่ตัวพิณ) เสียงพิณที่ออกมาแม้จะมีเสน่ห์ เป็นที่ชื่นชอบของผู้ฟัง แต่ความดังของเสียงพิณยังไม่เพียงพอ ไม่สามารถทำให้คนฟังสนุกสนานกับเสียงพิณได้ อ.นพดล ดวงพร ในฐานะของหัวหน้าวงจึงได้คิดที่ทำให้เสียงพิณมีความดังเพิ่มขึ้น จึงทดลองนำเอา คอนแทรค ของกีตาร์ไฟฟ้ามาดัดแปลงใส่กับพิณ และมอบหมายภาระหน้าที่สำคัญให้กับมือพิณประจำวง คือ ทองใส ทำให้เสียงพิณดังขึ้นให้เหมือนกับกีตาร์ไฟฟ้า

   

ครูทองใส ใช้ความพยายามทดลองการปรับตัวพิณโปร่งที่เป็นไม้ มาใส่กับระบบไฟฟ้าอยู่ระยะหนึ่งจนกระทั่งสามารถที่จะพัฒนาฝีมือการดีดพิณ โปร่งมาเป็นพิณไฟฟ้าได้ ตามความต้องการและเป็นที่พอใจของ อ.นพดล ดวงพร และได้ใช้พิณไฟฟ้า บรรเลงเป็นเอกลักษณ์  จุดนี้เองที่ทำให้ อ.นพดล ดวงพร ได้ชื่อว่าเป็นผู้คิดประดิษฐ์พิณไฟฟ้าตัวแรกของโลก ที่ต่อมามีผู้ทำตามจนแพร่หลายจนกลายเป็นพิณไฟฟ้าในปัจจุบัน ส่วนของครูทองใสเอง การปรับเปลี่ยนจาก การดีดพิณไม้โปร่ง มาเป็น การดีดพิณไฟฟ้า ในครั้งนี้ทำให้เกิดเป็น องค์ความรู้ใหม่ของครูทองใส คือ การปรับวิธีการดีดพิณไฟฟ้าที่เสียงดังมากกว่าพิณโปร่ง ให้ออกมาน่าฟัง ซึ่งมีปัญหาบ้างในระยะแรกแต่ต่อมาสามารถที่จะแก้ไข ทดลอง เรียนรู้และประยุกต์จนสามารถที่นำไปสู่การปฏิบัติจริงได้

จากการ เรียนรู้จากครูพิณ หลายคน ความพยายามในการฝึกฝน ปฏิบัติจริงด้วยตนเอง และการปรับเปลี่ยนจากจุดพัฒนา คือ การประยุกต์ลายพิณโบราณกับแนวดนตรีสากล เมื่อครั้งเป็นทหาร มาถึง โอกาสที่ได้รับ คือ การปรับวิธีการเล่นพิณโปร่งมาเป็นพิณไฟฟ้า และเล่นร่วมกับ วงดนตรีเพชรพิณทอง ของ อ.นพดล ดวงพร ทำให้ ครูทองใส ทับถนน สามารถก้าวผ่านจาก มือพิณธรรมดา มาเป็น มือพิณชั้นครู ที่มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับในปัจจุบัน

กว่าจะมาเป็น ครูทองใส ทับถนน วันนี้ได้ต้องใช้เวลากว่า ๕๐ ปี ของชีวิตในการเรียนรู้ สั่งสมองค์ความรู้ ประสบการณ์และบทเรียน จากลูกชาวนาที่มีเลือดศิลปินติดตัวมาแต่กำเนิด เติบโตท่ามกลางกลิ่นไอของธรรมชาติและวิถีชีวิตวัฒนธรรมของคนอีสาน สภาพแวดล้อมของศิลปินพื้นบ้าน จนก้าวผ่านเข้าสู่วงการศิลปินนักดนตรีมืออาชีพและร่วมเดินทางบนถนนสายดนตรี กับวงดนตรีลูกทุ่งอีสานชื่อดัง เพชรพิณทอง ในฐานะของ มือพิณ

ตลอด เวลาครูทองใสได้พยายามสร้างสรรค์และพัฒนาฝีมือ ผลงานการดีดพิณของตนเองมาโดยตลอด จนได้รับการยอมรับในวงการนักดนตรีมืออาชีพ และได้รับการยกย่องให้เป็นครูภูมิปัญญาไทย ด้านศิลปกรรม ดนตรีพื้นบ้าน-พิณอีสาน อันเป็นเกียรติประวัติสูงสุดที่ครูทองใส ได้รับอีกครั้งหนึ่งในชีวิต จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าการเรียนรู้ใน ระบบโรงเรียน จะสิ้นสุดที่ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ แต่การเรียนรู้ในชีวิตจริงของครูทองใส ดำเนินพัฒนาองค์ความรู้ด้วยการเรียนรู้ด้วยตนเองจากการปฏิบัติจริงมาตลอด ชีวิตจนกลายเป็นองค์ความรู้ที่สามารถพิสูจน์ได้ถึงความชำนาญความเชี่ยวชาญใน ด้านการดีดพิณได้รับการยอมรับจากบุคคล สถาบันการศึกษา หน่วยงานราชการต่าง ๆ  เห็นได้จากการมีผู้คนมาฝากตัวเป็น ลูกศิษย์ ร่วมเรียนรู้รับการถ่ายทอดความรู้เรื่อง  พิณ  กับครูทองใสมากมาย และการได้รับเชิญไปร่วมแสดงในงานสำคัญ ๆ ทาง
   
 ด้านการศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรมประเพณีของท้องถิ่นอย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอ

กว่า ระยะเวลากว่า ๓๐ ปีบน "ถนนสายดนตรี" กับอาชีพ "ศิลปิน" มือพิณประจำวงเพชรพิณทอง ครูทองใส ได้รับรางวัลแห่งเกียรติยศกับวิชาชีพนักดนตรี ดังนี้

ปี พ.ศ ๒๕๔๓ ได้รับการประกาศเชิดชูเกียรติให้เป็น "ศิลปินดีเด่น" จังหวัดอุบลราชธานี สาขาศิลปะการแสดง (ด้านดนตรีอีสาน) จากสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงศึกษาธิการ

 ปี พ.ศ. ๒๕๔๔ ประกาศเกียรติบัตร "ผู้ให้การสนับสนุนกิจกรรมวัฒนธรรมดีเด่น" จาก สำนักพัฒนาการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เขตการศึกษา ๑๐

 ปี พ.ศ. ๒๕๔๔ เกียรติบัตร "ผู้ให้การสนับสนุนพิธีเปิดศูนย์ศิลปวัฒนธรรมกาญจนาภิเษก" จากสถาบันราชภัฎอุบลราชธานี

ปี พ.ศ. ๒๕๔๕ ครูภูมิปัญญาไทย รุ่นที่ ๒ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๔๕ ด้านศิลปกรรม

ปี พ.ศ. ๒๕๔๘  ศิลปศาสตรมหาบัณฑิตกิตติมศักดิ์(ดนตรีศึกษา) จากมหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี

นอกจาก รางวัลเกียรติยศ ที่ครูทองใสได้รับแล้ว ที่สำคัญเหนืออื่นใดที่ครูทองใสภูมิใจที่สุด คือ การยอมรับจากประชาชนที่ชมการแสดง

ของวง ดนตรีเพชรพิณทอง และให้การยอมรับว่า ทองใส ทับถนน คือ คนดีดพิณสองสาย ลายพื้นบ้าน และลายประยุกต์ที่ไพเราะที่สุดของภาคอีสานและประเทศไทย

กว่า ที่จะก้าวมาสู่ความสำเร็จบนถนนสายนักดนตรีอาชีพได้ในวันนี้ ครูทองใสบอกว่ามีหลักในการดำเนินชีวิตอย่างง่าย ๆ แบบพิณสามสาย คือ ใช้ ทางสายกลาง อย่างที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ และครูทองใสก็ใช้หลักข้อนี้ดำเนินชีวิตมาโดยตลอด นอกจากนั้น คุณธรรมประจำใจ ที่ครูทองใส ยึดมั่นในการเป็นนักดนตรีอาชีพมาตลอดกว่า ๕๐ ปีที่ทุกคนรู้จัก ครูทองใส จะเห็นชัดเจนในคุณธรรม ๔ ประการ คือ

๑. ความเพียร เป็นคุณลักษณะที่ครูทองใสบอกว่าต้องใช้มากที่สุด เพราะสมัยก่อนการเรียนรู้กับครูพิณ คือ การสังเกต การจดจำ ทำนอง การทดลอง การฝึกฝนจนชำนาญ ล้วนแต่จะต้องใช้ความเพียรทั้งสิ้น และครูทองใสได้ใช้ ความเพียร มาจนประสบความสำเร็จในการเป็นมือพิณสองสายที่กล่าวได้ว่า ดีที่สุดคนหนึ่งของประเทศไทย
๒. ความอดทน นอกจากความเพียรในการฝึกฝน ความอดทนเป็นสิ่งที่ต้องนำมาใช้ให้มากที่สุด กับอาชีพนักดนตรีที่ต้องตระเวนเล่นตามสถานที่ต่างๆ บางครั้งแสดงจนเกือบสว่าง รวมทั้งปัญหาอุปสรรคนานับปการที่ต้องใช้ความอดทนสูงในการเป็นศิลปิน
๓. ความมีน้ำใจ การแบ่งปัน เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่ผู้อื่น ในฐานะที่อยู่ร่วมกันกับคนหมู่มาก จะต้องแสดงความมีน้ำใจให้กับคนอื่นเสมอ ๆ และจะได้รับน้ำใจกลับคืนมาภายหลังเอง
๔. ความซื่อสัตย์สุจริต คุณธรรมข้อนี้ ครูทองใสยึดมั่นมาโดยตลอด และเป็นหนทางไปสู่ความสำเร็จในการเป็นศิลปิน

๑. ทำงานอย่างมีความสุข เพราะอาชีพศิลปินคืออาชีพที่สร้างความสุขให้กับผู้อื่น ศิลปินต้องมีความสุขกับการทำงาน โดยเฉพาะครูทองใส จะเป็นคนที่อารมณ์ดีตลอดเวลา
๒. สนุกสนานกับเพื่อนร่วมงาน การสร้างบรรยากาศให้เกิดความสนุกสนานจะช่วยให้การทำงานออกมาดีมีคุณภาพเองโดยอัตโนมัติ
๓. ผสมผสานชีวิตทำงานกับครอบครัว ครูทองใส เป็นคนที่รักครอบครัวมากที่สุด ไม่เคยมีปัญหาทางครอบครัว เพราะสามารถบริหารเวลาการทำงานด้านดนตรี กับงานทางบ้านได้อย่างลงตัว
๔. พัฒนางาน/ฝีมืออยู่เสมอ แม้จะได้รับขนานนามว่าเป็นมือพิณผู้ยิ่งใหญ่ หรือปรมาจารย์ด้านการดีดพิณ เป็นสิ่งที่คนอื่นตั้งให้ แต่ตัวครูทองใสบอกว่ายังต้องพัฒนาฝีมืออยู่ตลอดเวลาด้วยการเรียนรู้ ฝึกฝนและหาประสบการณ์เพิ่มเติมทางดนตรีอีกมาก และไม่เคยคิดว่าเป็นคนมีชื่อเสียงและหลงตัวแต่อย่างใด
๕. ถ่ายทอดความรู้โดยไม่ปิดปัง เพราะถือว่าเป็นวิทยาทาน ทุกครั้งที่ถ่อยทอดและสอนลูกศิษย์ ครูทองใสจะพยายามให้ความรู้กับลูกศิษย์ทุกอย่าง ทั้งลายพิณ เทคนิค เคล็ดลับต่างๆ เพราะถือว่าได้ความรู้มาจากครู เมือเป็นครูก็ต้องถ่ายทอดความรู้ให้กับลูกศิษย์ทั้งหมดเช่นเดียวกัน ส่วนใครจะรับได้มากน้อยเป็นเรื่องความสามารถของแต่ละบุคคลครูทองใส ทับถนน บอกว่าต้องการถ่ายทอดลายพิณโบราณพื้นบ้านอีสาน ให้คงอยู่ไว้ ควบคู่ไปกับลายพิณประยุกต์ให้เป็นมรดกของคนอีสานตลอดไป

1 ความคิดเห็น:

Flag Counter